ประเภทแก้วไวน์ มีกี่แบบ แต่ละแบบ แก้วไวน์ เหมาะกับไวน์แบบไหนกันนะ?

เมื่อพูดถึง ไวน์ หลาย ๆ คนจะต้องนึกถึง รสชาติไวน์ ประเภทของไวน์ การดื่มไวน์ การจับแก้วไวน์ กันอย่างแน่นอน แต่ก็มีอีกหนึ่งเรื่องที่อาจจะมีคนสงสัยอยู่บ้าง นั่นคือ ประเภทแก้วไวน์ ว่าแต่ละแบบนั้น มีอะไรบ้าง ใช้ใส่ไวน์แบบไหนกัน บทความนี้ SGE จะพาไปรู้จักกับ แก้วไวน์ แต่ละประเภทกัน ตามไปดู

แก้วไวน์ (Wine Glass)

แก้วไวน์ ประกอบไปด้วยส่วน 3 ส่วน คือ ส่วนถ้วยที่รองรับไวน์ (Bowl) ส่วนก้าน (Stem) และส่วนฐาน (Foot) โดยทั่วไปนั้น รูปร่างจะคล้าย ๆ กัน คือ ก้านยาว เนื้อบาง สีใส ไม่มีรอยเจียระไนของแก้ว ยิ่งหาเป็นแก้วไวน์ที่มืออาชีพให้กัน จะมีรูปร่างทั้งแบบ ปากบาน ปากสอบ ทรงอวบอ้วน หรือเป็นแก้วที่ออกแบบโดยเฉพาะนั่นเอง

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-02

การออกแบบแก้วไวน์ให้มีหลาย ๆ แบบ เพื่อให้เกิดความสมดุลเวลาดื่มไวน์ แล้วไวน์สัมผัสกับลิ้นครั้งแรก ขอบแก้วไวน์ จะเป็นแหล่งบังคับให้น้ำไวน์ไหลตรงสู่บริเวณหนึ่งบริเวณใดที่ต้องการของลิ้นก่อน แล้วกระจายไปบริเวณอื่น ๆ ของลิ้น ก่อนที่จะไหลลงสู่ลำคอ เพื่อให้ได้รสไวน์ที่ดี และรสไวน์ที่เด่นก่อน เป็นการแสดงลักษณะเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์นั้น ๆ เวลาที่ไวน์ไหลเข้าปากนั่นเอง

ประเภทแก้วไวน์

ส่วนประกอบของแก้วไวน์ ทุก ๆ ส่วนล้วนมีความสำคัญ และส่งผลต่อรสชาติ กลิ่น สัมผัสต่าง ๆ ของไวน์แต่ละชนิด การเลือกแก้วไวน์ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน เลือกแก้วไวน์ให้เหมาะกับประเภทไวน์ ทำได้ดังนี้

1. แก้วไวน์แดง (Red Wine glass)

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-03 Red wine glass

แก้วไวน์แดง มีขนาดถ้วยแก้วกว้างสูง ก้านยาว ขนาดความจุประมาณ 8-10 ออนซ์ เมื่อรินไวน์แดงใส่แก้ว จะรินแค่ครึ่งแก้ว ให้เพียงพอต่อการดื่ม 2-3 ครั้งต่อแก้ว เพราะการดื่มไวน์แดงนั้น จะต้องมีการแกว่งแก้ววน ๆ เพื่อกระตุ้นให้กลิ่นหอมของไวน์แดงออกมา เพิ่มอรรถรสในการดื่มมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แก้วไวน์แดง สามารถแยกย่อยได้อีก ได้แก่

  • แก้วไวน์แดง Cabernet / Merlot เป็นแก้วที่ก้านสูงกลาง ๆ ฐานกว้าง ตัวแก้วใหญ่แบบพอดี ด้านบนแคบนิด ๆ ให้กลิ่นไวน์ออกมาชัดขึ้น เขาออกแบบมาเพื่อให้ไวน์ได้รับออกซิเจน ดึงกลิ่นผลม้งผลไม้ ช่วยลดความฝาดลิ้นจากแทนนินได้น้อยลง
  • แก้วไวน์แดง Bordeaux เป็นแก้วที่ใหญ่ กว้าง สูง คล้ายกับแก้ว Cabernet และ Merlot แต่มีความกว้างกว่า และปากแก้วแคบกว่า เพื่อให้ไวน์เข้าถึงทั่วทั้งปาก เหมาะกับการใส่ไวน์รสเข้มมากที่สุด
  • แก้วไวน์แดง Syrah / Shiraz แก้วจะเพรียว และดูสูง มีปากแก้วแคบ เพื่อดึงกลิ่นผลไม้ออกมาก่อน แล้วค่อยดึงแทนนินออกมา
  • แก้วไวน์แดง Pinot Noir เป็นแก้วทรงอวบ สั้น มีก้านเล็ก และเพรียว ออกแบบดีไซน์มาเพื่อดึงรส กลิ่นเข้มข้นของไวน์ให้ตรงสู่จมูก และลิ้น

2. แก้วไวน์ขาว (White Wine glass)

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-04 White wine glass

แก้วไวน์ขาว จะคล้ายกับแก้วไวน์แดง แต่มีขนาดถ้วยแก้วที่สั้น และเล็กกว่า ก้านยาว ขนาดความจุประมาณ 8-10 ออนซ์ เพื่อลดการถ่ายเทของอากาศ เพราะไวน์ขาว จะมีกลิ่นหอมในตัวของมันเอง โดยไม่ต้องกระตุ้น มีรสหวานนุ่ม ดื่มแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่า จิบได้เรื่อย ๆ

นอกจากนี้ แก้วไวน์ขาว สามารถแยกย่อยได้อีก ได้แก่

  • แก้วไวน์ขาว Sauvignon Blanc เป็นทรงยอดฮิตที่เห็นกันบ่อย ๆ แก้วจะขายาว ปากแก้วเล็ก ช่วยทำให้กลิ่นไวน์ออกมาชัด แต่เปิดให้ออกซิเจนสัมผัสไวน์ ทำให้ไวน์กลิ่นและรสสดชื่น ยั่วยวนนั่นเอง
  • แก้วไวน์ขาว Riesling แก้วทรงยาว และผอมที่สุดในบรรดาแก้วไวน์ขาวทั้งหมด จะช่วยดึงรสสดชื่น กลิ่นหอมผลไม้บาง ๆ ของไวน์ออกมา ส่วนขาแก้วไวน์ที่ยาวนั้น จะช่วยกันความร้อน รักษาความเย็นของไวน์ไว้
  • แก้วไวน์ขาว Chardonnay เป็นแก้วทรงโถกว้าง คล้าย ๆ กับแก้ว Pinot Noir แต่เล็กกว่า เหมาะกับไวน์รสเข้มกำลังดี อย่างไวน์ Chardonnay เมื่อเขย่า กลิ่นลอยเตะจมูก เย้ายวนให้จิบแบบสุด ๆ

3. แก้วสปาร์คกลิ้งไวน์ และ แก้วแชมเปญ

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-05 Sparking Champagne wine glass

แก้วสปาร์คกลิ้งไวน์ และ แก้วแชมเปญ จะขนาดแก้วที่แคบกว่าแก้วไวน์ชนิดอื่น ๆ รูปทรงของแก้ว เป็นทรงกระบอกตร งเพราะไวน์ 2 ชนิดนี้ มีความซ่า แก้วทรงนี้ จะช่วยเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ทำให้ดื่มแล้วยังมีความซ่าอยู่ และยังช่วยทำกลิ่นหอมของไวน์หอมขึ้นมาเตะจมูกได้อีกด้วย

  • แก้วสปาร์คกลิ้งไวน์ มีทรงมนกว่าแก้วแชมเปญ เพื่อเพิ่มลูกเล่นในการดื่ม สามารถใส่แก้วแชมเปญได้เช่นกัน
  • แก้วแชมเปญ flute มีทรงสูงผอม และตรง ๆ ช่วยให้ความซ่า หอมสดชื่นตั้งแต่จิบแรก แถมยังดึงรสสดชื่น กลิ่นหอมผลไม้บาง ๆ ของไวน์ออกมา ส่วนขาแก้วไวน์ที่ยาวนั้น จะช่วยกันความร้อน รักษาความเย็นของไวน์ไว้

4. แก้วไวน์หวาน (Dessert Wine)

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-06 Dessert wine glass

แก้วไวน์หวาน มีรูปทรงตรงยาว ปากแก้วเล็ก เพราะไวน์หวานจะมีแอลกอฮอล์สูง จึงดีไซน์มาแบบ เพื่อเวลาดื่มรสหวานของไวน์ จะส่งตรงไปถึงด้านหลังของปาก ให้ได้รสชาติที่เต็มที่ และไม่เสียรสชาตินั่นเอง

แก้วไวน์หวาน แบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้

  • แก้วไวน์หวาน Dessert Wine / Ice Wine ออกแบบมาเพื่อให้เขย่าไวน์ได้ง่าย ๆ ไม่กระฉอก ทำให้อากาศอยู่ในน้ำไวน์กำลังดี ดึงความเปรี้ยวของไวน์ออกมา ไม่ให้รู้สึกว่าไวน์หวานเจี๊ยบจนเกินไป
  • แก้วไวน์หวาน Port Wine / Vintage Port เป็นทรงเตี้ย จับกระดกง่าย ดีไซน์มาเพื่อดึงกลิ่นโอ๊ก ผลไม้ และดึงรสเครื่องเทศในไวน์ให้ออกมาโดดเด่นแบบไม่โดนกลิ่นแอลกอฮอล์กลบนั่นเอง

5. แก้วไวน์โรเซ่ (Rose Wine)

แก้วไวน์-ประเภทแก้วไวน์-07 Rose wine glass

แก้วไวน์โรเซ่ จะมีปากแก้วกว้าง เพราะอากาศจะเข้าไปทำปฏิกิริยา Oxidation จนรสชาติ และกลิ่นเพี้ยนไปได้ นอกจากนี้ก้านของแก้ว จะต้องมีความยาวประมาณนึง เพื่อรักษาอุณหภูมิที่สม่ำเสมอ หากไม่มีแก้วสำหรับโรเซ่ไวน์ สามารถใช้แก้วไวน์ขาว ทดแทนได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากหาแก้วไวน์ตามลักษณะไวน์ไม่ได้ หรือใครยัง งง  ๆ กับแก้วไวน์อยู่ สามารถใช้ แก้วไวน์แบบ Universal Glass มาใช้ได้เลย เพราะเป็น ประเภทแก้วไวน์ ที่ออกแบบมาให้ใช้ได้กับไวน์ทุกแบบนั่นเอง

วิธีเก็บ และการดูแลรักษาแก้วไวน์

  • เวลาถือแก้วไวน์ ห้ามจับที่ตัวแก้ว ให้จับที่ก้านของแก้วไวน์
  • ล้างแก้วไวน์ทุกครั้งหลังการดื่ม ควรล้างมือ และน้ำยาล้างจาน ห้ามล้างด้วยน้ำเปล่า เพราะไวน์จะทิ้งสารตกค้าง อาจส่งผลต่อรสชาติของไวน์ ที่ใส่ลงในแก้วครั้งต่อไป
  • อย่ารินไวน์ลงในแก้วที่ร้อน ควรทำให้แก้วไวน์อยู่ในอุณหภูมิห้องก่อน
  • หาที่แขวนแก้วไวน์ มาใช้แขวนแก้วโดย คว่ำลงทำให้น้ำไหลออกจนแห้ง เพื่อลดความเสี่ยงเวลาแก้วหล่นตกแตกระหว่างการเช็ดแก้วนั่นเอง
จบไปแล้ว ประเภทแก้วไวน์ แต่ละแบบที่เรานำมาฝากกัน เลือกได้ว่า แต่ละแบบก็ใช้ใส่ไวน์ที่แตกต่างกันจริง ๆ ด้วยดีไซน์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ใส่ไวน์ จะช่วยทำให้เพิ่มอรรถรสในการดื่มไวน์ได้จริง ๆ อย่างไรก็ตาม ลองเลือกใช้แก้วไวน์ให้เหมาะสมกับไวน์ที่ดื่มกันดู รับรองว่า การดื่มไวน์ของคุณจะมีสีสันมากขึ้นแน่นอน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น